อาม่ายอมขายอาหาร ขาดทุน มา 55 ปีจนเป็นหนี้ 2.5 ล้าน หลังเสียชีวิตมีคนมาร่วมงานกว่า 2,000 คนเพราะ..

พวกเราอาจจะไม่มีความสามารถพอจะเปลี่ยนโลก แต่ในโลกใบนี้ ข้าวร้อนๆสักจานก็สามารถให้ความอบอุ่นกับหัวใจได้ การทำความดีเพียงหนึ่งครั้ง ก็ถือเป็นพลังบวกที่ช่วยสร้างสรรค์สังคมให้ดีงามขึ้น เรามาช่วยกันทำให้โลกใบนี้น่าอยู่และสวยงามขึ้นกันเถอะ


แต่ที่ทำให้ผู้คนมีความสุขก็คือ หลังจากครบรอบ 1 ปีวันเสียชีวิตของอาม่า ลูกๆของแกก็จัดตั้งมูลนิธิจวงจูอวี้ เพื่อทำตามปณิธานของแม่ต่อไป


ทั้งคนงานท่าเรือในอดีตและปัจจุบันมากมายมางานศพอาม่า พวกเขาระลึกถึงบุญคุณ ตอนที่ทุกคนกำลังลำบากก็ได้ข้าวของอาม่าช่วยเหลือไว้ ทุกคนร้องไห้น้ำตาไหลพราก


นายเฉินจิ้นจางอดีตคนงานที่ท่าเรือวัย 79 ถึงกับร้องไห้เหมือนเด็กๆ “ไม่มีวันได้กินอาหารฝีมืออาม่าอีกแล้ว”


พออาการดีขึ้นมาหน่อย แกก็รีบไปทำอาหารขายเหมือนเดิม ลูกหลานจะห้ามยังไงก็ไม่ฟัง ก็เลยต้องประนีประนอม ให้เหลือแค่วันละมื้อ แต่ไม่นานอาม่าก็เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตก ต้องนอนอยู่แต่บนเตียง และครั้งนี้อาการไม่ยอมกลับมาดีขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นคนดี มีน้ำใจแค่ไหนก็เอาชนะโรคภัยไม่ได้ หลังจากนั้น 5 ปีแกก็เสียชีวิต


หลังจากนั้นก็ไม่มีแผงข้าวแกงเพื่อคนจนอีกต่อไป ไม่มีอีกแล้ว…  แกจากไปในวัย 96 ปี ในงานศพแก มีคนมาร่วมงานมากกว่า 2,000 คน พวงหรีดวางยาวเรียงต่อกันเป็นหลายร้อยเมตร


ตอนช่วงอายุ 70 สุขภาพแกเริ่มแย่ลง จากที่ทำอาหาร 3 มื้อก็ต้องลดเหลือแค่ 2 มื้อ พอช่วงอายุ 80 อาการแกก็แย่ลงเรื่อยๆ จนต้องนอนบนเตียงไปไหนไม่ได้ จนทำให้ใครๆก็สงสาร แต่แกเองยังเป็นกังวลว่าคนงานจะไม่มีข้าวกิน


แกพูดกับลูกๆบ่อยๆว่า : “การช่วยคนอื่น เป็นตอบแทนบุญคุณของหลายๆชาติที่ผ่านมา”


ลองคิดดูในสังคมนี้ มีคนมากมายที่สามารถช่วยเหลือคนยากจนได้ แต่พวกเขายินดีที่จะเอาเงินไปเที่ยวเล่น กินข้าว กินเหล้า มากกว่าจะเอาไปช่วยเหลือคนอื่น


ลูกๆ และเพื่อนบ้านไม่เข้าใจในสิ่งที่แกทำ ฉันว่าคนธรรมดาที่ไหนก็คงไม่เข้าใจแกทั้งนั้น การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำงานที่ไม่ได้รายได้ใดๆเลย จะทำต่อไปทำไม แถมอาม่าเองก็อายุมากขึ้นทุกวันๆ แต่ใครก็ห้ามแกไม่ได้


ใครๆ ก็รู้ว่าซื้อกับข้าวทำกับข้าวล้วนต้องใช้เงิน แต่ค่าอาหารแค่จานละ 10 บาทจะไปช่วยอะไรอาม่าได้ แค่ค่าผักก็ไม่พอแล้ว! แต่อาม่าก็ยังหาทางออกด้วยตัวแกเอง เช่น หลังจากเก็บแผงข้าวแกงแล้วก็ไปเก็บขยะขาย หรือเอาเงินที่ลูกๆให้ไว้เพื่อใช้จ่ายมาใส่ตรงนี้ หลังจากนั้นแกถึงกับต้องขายบ้านไป 7 หลัง แล้วยังเป็นหนี้นอกระบบอีก 2.5 ล้าน เนื่องจากหลายสิบปีมานี้แกไม่ได้แค่ทำอาหาร คนงานที่ท่าเรือไม่มีเงินแต่งงาน แกก็จะออกเงินจัดงานแต่งงานให้เอง จนดูเหมือนแกจะคิดว่าคนงานทุกคนเป็นญาติแก


ผู้คนมากมายต่างก็ทราบซึ้งในน้ำใจของอาม่า แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของการช่วยเหลือผู้คนมากมายนี้ กลับทำให้แกแทบหมดเนื้อหมดตัว!


แต่การทำอาหารให้คนจำนวนมากกินทุกวันใช้เงินไม่น้อย แกต้องควักเนื้อตัวเองมาโดยตลอด เพื่อจะหาเงินมาซื้อกับข้าว แผงข้าวจะได้อยู่ได้ต่อไป แกก็เลยเริ่มเก็บเงินจากจานละ 3 บาท 5 บาท และขายราคานี้มาเป็น 10 ปีแล้ว


ไม่นานเรื่องราวความใจดีของอาม่าก็แพร่ขยายไปทั่ว ไม่เพียงแค่คนงานที่ท่าเรือมากินข้าวเท่านั้น คนจน คนข้างถนนแถวนั้นก็มากินด้วย อาหารฟรีๆ มีคนมากินวันละกว่า 200 คน ยิ่งเป็นเหตุผลให้อาม่ารู้สึกว่าสิ่งที่แกทำสามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย แกก็ยิ่งมีแรงใจที่จะทำต่อไป


ชีวิตก็ดีขึ้นมาหน่อย พวกเขาเช่าคลังสินค้าที่ท่าเรือเกาสง แล้วเปิดบริษัทเอาของขึ้นลงจากเรือ จากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบว่าคนงานที่ทำงานที่ท่าเรือเหนื่อยยากลำบากมาก รายได้ก็แสนน้อย แม้แต่ที่จะซุกหัวนอนก็ยังไม่มี


ที่น่านับถือก็คืออาม่า ทำทานแบบนี้มาตลอดชีวิต ทุกวันไม่เคยหยุด แกจะไปซื้ออาหารสดที่ตลาด จากนั้นก็เอากลับมาล้าง แล้วปรุงออกมาวางบนแผง เพื่อให้คนงานได้กินข้าวอิ่มๆตั้งแต่เช้า ไม่ว่าจะฝนตกพายุเข้า อาม่าก็ไม่เคยหยุด


คุณอาจจะสงสัย ว่าหญิงชราคนนี้เป็นใคร? ทำไมอายุขนาดนี้แล้ว ยังทำการค้าขายที่ “ขาดทุน” อยู่อีก จริงๆแล้วแกไม่ใช่คนดังที่ไหน ก็เป็นแค่คนแก่ธรรมดา แต่แค่ใจดี มีจิตใจเมตตา แล้วก็ส่งผ่านความอบอุ่นใจไปถึงคนอื่นๆ


ข้างๆแผงขายข้าวแกง อาม่าตักข้าวให้ลูกค้าพูนจาน ส่วนลูกค้าก็ยื่นเงินให้ 10 บาท ภาพแบบนี้เห็นได้ทุกวันตรงตีนสะพานแห่งหนึ่งในจังหวัดเกาสง ประเทศไต้หวัน


ขอบคุณที่มาจาก:kidzii , kwamsukz



อาม่ายอมขายอาหาร ขาดทุน มา 55 ปีจนเป็นหนี้ 2.5 ล้าน หลังเสียชีวิตมีคนมาร่วมงานกว่า 2,000 คนเพราะ..
ใหม่กว่า เก่ากว่า